วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รถสองแถวทางไกลสายผ่านทุ่ง

      รถสองแถวทางไกลสายผ่านทุ่ง
      หลายปลายทางต่างมุ่งต่างจุดหมาย

      นาหน้าหนาวแดดแล้งลมระบาย
      พริ้
      วผ่านฝุ่นทรายในรอยทาง

      วิ่งผ่านสายแดดแล้งไม่เร็วนัก
      แวะจอดหยุดพักสักแห่งบ้าง

      ความเร่งรีบใดหรือที่ถือ…? วาง
      และมิอาจเอ่ยอ้างถึงเวลา

      รอคนให้ครบจนเต็มคัน
      ในรถคั
      นเดียวกันนั้นคล้ายว่า

      ล้วนแต่ญาติมิตรที่มุ่งมา
      คล้
      ายไม่ได้แปลกหน้าบนทางไกล

      ไถ่ถามสารทุกข์-สุข,ปลายทาง
      รุ
      ่งเรืองหรือรกร้างเป็นอย่างไหน

      เมือง,บ้านจากหนนี้ไปหนใด
      ถิ่
      นนั้นยังมีใครคอยเฝ้ารอ

      เนิ่นนานนับแล้วบนท้องถนน
      มีบ้
      างบางคนต้องไปต่อ

      เกือบตะวันลับทุ่งไม่รั้งรอ
      ต่างคนไม่ย่นย่อต่อทางตน

      ลงจากรถสองแถวสายผ่านทุ่ง
      หลายจุดหมายต่างมุ่งมั่นดั้นด้น

      ลับหายจากกันไปในบัดดล
      เรื่
      องราวอันเคี่ยวข้นค่อยลบเลือน

      รถสองแถวคันผ่านทุ่งสายนั้น
      ความรู้สึกแห่งเผ่าพันธ์จึงขับเคลื่อน

      อารมณ์ทุ่งหน้าหนาวกับดาวเดือน
      บรรยากาศกรุ่นเกลื่อนอยู่เปื้
      อนทุ่ง

พื้นที่แห่งมิตรภาพ



มีพื้นที่แห่งไหนบ้
างสักพื้นที่
ได้จริงใจไมตรีต่อมิ่งมิต

เอื้อเฟื้อได้ไว้ใจดั่งญาติสนิท
กับรอยยิ้มเนรมิตมหัศจรรย์

โลกแคบลงนักแล้วโลกาภิวัฒน์
ชีวิตเวียนว่ายไปตามถนัดอย่างนั้น

ดำรงตนชีวิตใครชีวิตมัน
มุ่งสำเร็จแข่งขัน-เหตุปัจจัย

เมืองสอนเราเช่นนี้วิถีมนุษย์
คำตอบสำเร็จรูปที่สุดยังสงสัย

พร่ำบอกให้เราก้าวไปเอาชัย
อย่างนั้นคงไม่เหลือใครเป็นผู้แพ้

หัวใจคล้ายถูกเก็บในลิ้นชัก
อาจมิอาจได้ประจักษ์ความจริงแท้

เห็นเพียงโลกขบวนการการผันแปร
สุดท้ายอาจเหลือแค่เศษวิญญาณ

เถิด..เดินทางไปหาสักพื้นที่
ไปหาความอารีย์อันแสนหวาน

ไปสัมผัสรอยยิ้มอันเบิกบาน
ร่วมก่อร้างสร้างตำนานวิถีคน

เพื่อพบได้หัวใจยังมีอยู่จริง
มิใช่ฝังอยู่แน่นิ่งเกินกว่าค้น

แต่พร้อมเปล่งอานุภาพให้เคลื่อนวน
และพร้อมบันดาลดลความดีงาม


วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หัวใจ-พระจันทร์

          เมฆสางจางฟ้าจึงใส
          จันทร์จึงแจ่มกว่าใดในผืนฟ้า
          ดาวบางดวงหลบแสงส่องนภา
          มีเพียงบางดารายังเด่นดวง

          คำนึงจางคลายใจจึงใส
          ปัญญาจ้าทันใดในหุบห้วง
          บางความคิดเฉิดฉายไร้ภาพลวง
          และนั่นย่อมเป็นช่วงที่ดีงาม

          จันทร์-หัวใจคล้ายเป็นเช่นเดียว
          สอดคล้องข้องเกี่ยวอยู่ท่าม
          ธรรมดาแห่งสามัญนาม
          นั่นจึงเป็นนิยามหัวใจ-จันทร์

คำอำลาครั้งสุดท้าย

          ถ้อยคำอำลาครั้งสุดท้าย
          ลอยแผ่วผ่านจางหายไปในม่านฝน
          แล้วจึงต้องจากไปจากบ้านคน
          ไปสู่ความมืดมนบนทางไกล

          อาจถ้อยคำอำลาก่อนหน้านี้
          ยังคงมีบางเสี้ยวเกี่ยวกันไว้
          เสี้ยววิถีทอดวางระหว่างหัวใจ
          กับภาระภายในยังสัมพันธ์

          แต่ที่สุดก็ถึงวาระอำลาอีกครั้ง
          ทั้งหมดความหวังและความฝัน
          ต่างคนต่างทางแตกต่างกัน
          อาจเพียงแค่นั้นเป็นความจริง

          โปรดจดจำแต่ส่วนดีงาม
          ในนามของส่วนแห่งสรรพสิ่ง
          เหลือสักวิถี – ที่ทาง ได้พักพิง
          จากไปแล้วได้แอบอิงดวงวิญญาณ

          ถ้อยคำอำลาครั้งสุดท้าย
          ปล่อยให้จางหายไปพ้นผ่าน
          หากยังพอมีเรื่องเล่าของวันวาน
          ขอให้เป็นความเบิกบานในทรงจำ

ขอทานตาบอด

      นั่งลงกลางแดดจ้าในมหานคร
      แผดเผาคนจรร้อนหนักหนา
      แต่ภาพนั้นไม่ได้มีในดวงตา
      ทั้งไม่ปรารถนาจะมามอง

      ชายตาบอดหยิบหีบเพลงออกมาเป่า
      เป็นเพลงซึ้งเศร้าลอยละล่อง
      ไม่คาดหวังสิ่งใดเกินใฝ่ปอง
      เพียงอาหารถึงท้องอีกสักมื้อ

      กลางเถื่อนทางแห่งผู้คน
      อึกทึกสับสนเสียงอลอื้อ
      ไอร้อนแห่งวันพัดกระพือ
      เทียวท่องถือหีบเพลงบรรเลงไป

      ใบหน้านั้นหมองคล้ำกรำกร้าน
      หัวใจร้าวรานและหม่นไหม้
      ดุ่มเดินเนิ่นนับไกลแสนไกล
      หลายครั้งบางคนใครให้เศษสตางค์

      หีบเพลงบรรเลงคล้ายเพลงนั้น
      ฟังสุ้มเสียงเครือสั่นอ้างว้าง
      เหนื่อยนักนั่งลงอยู่ริมทาง
      หยิบขันออกมาวางเป็นขอทาน

      ขอทานตาบอดเป่าหีบเพลง
      หวีวหวีดวังเวงยังขับขาน
      ทางเท้ากลางมหานครเพียงพบพาน
      อีกหนึ่งมนุษย์ตำนาน ในกาลเวลา

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันเกิดของเรา

      เกิดมาแต่แผ่นดินใดในกาลครั้งหนึ่ง
      วิญญาณก็ตอกตรึงในมหาอาณาจักร
      ในกระบวนการอันก้าวไปสู่เรียนรู้รัก
      ให้หัวใจได้ประจักษ์โลก ชีวิต เวลา

      ฤดูกาลผันเวียนทั้งเปลี่ยนแปลง
      บางขณะสำแดงเดชฤทธิ์คลั่งบ้า
      ยามที่พื้นที่ถูกยึดครองด้วยอัตตา
      นั่นก็ทำให้ปัญญาหลบลี้ไกล

      วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
      บนทางใหม่เก่ายังไม่สิ้นสงสัย
      พอจะรู้อยู่บ้างว่าเกิดมาทำไม
      และจะทำสิ่งใดในชีวิตที่ยาวนาน

      แต่ทำอย่างไรจึงจะได้กระทำ
      ยิ่งบอกยิ่งตอกย้ำยิ่งเกียจคร้าน
      ยิ่งเคี่ยวเข็ญยิ่งขัดแย้งเป็นอันธพาล
      จึงตกต่ำดักดานไม่งอกเงย

      แต่เรารู้ว่าอย่างไรไม่ไร้ความหวัง
      ยามสงบได้นิ่งฟังคำตอบเฉลย
      อาจในหนทางยาวไกลที่คุ้นเคย
      ค่อยแย้มคลี่ผลิเผยปัญญาญาณ

      อาจวันนี้ทางท่องแปรค่าเปลี่ยน
      ผ่อนคลายในพากเพียรบนทางผ่าน
      เตือนตนก้าวทุกก้าวด้วยเบิกบาน
      และสอดร้อยประสานกับฟ้าดิน

      ได้ไม่ได้ พบไม่พบปรารถนา
      ปลายทางมิใช่ค่าทั้งหมดทั้งสิ้น
      ภาพปรากฏสรรพเสียงที่เห็น-ได้ยิ
      ทั้งรสและกรุ่นกลิ่นสัมผัสสัมพันธ์

      เมื่อเกิดมาแล้วจากกาลครั้งหนึ่
      จะเรียนรู้อย่างลึกซึ้งและสร้างสรรค์
      ก้าวเดินในโลกได้อย่างเป็นอัศจรรย์
      ทุกความจริงความฝัน ทำความเข้าใจ

คำนึงถึงภูเขา

          คิดถึงหมอกขาวเมื่อเช้าใหม่
          คิดถึงสายน้ำไหลที่ลำห้วย
          คิดถึงผู้คนและความรุ่มรวย
          ภูเขาสูงสวยกับป่าไพร
          จากมานานนักแล้วจึงคิดถึง
          ทุกขณะคำนึงอันอ่อนไหว
          จากมาสู่ดินแดนซึ่งแสนไกล
          ไม่รู้นานเท่าไหร่จะได้กลับภู
          บ้านเปลี่ยนเมืองเปลี่ยนสายน้ำเปลี่ยน
          ผู้คนยังวนเวียนอย่างที่รู้
          เผชิญโลกกันไปยากพอดู
          เสพย์สุขกันชั่วครู่เพียงบางคราว
          เมืองร้างบ้านร้างอ้างว้างนัก
          ยุคสมัยร้างรักโลกปวดร้าว
          ดินร้างหญ้าน้ำร้างปลาฟ้าร้างดาว
          วันเวลาร้างเรื่องราวให้ถักทอ
          จึงหม่นเศร้านักในกาลเวลา
          เจ็บปวดต่อมายาช้ำและท้อ
          สิ้นเรี่ยวสิ้นแรงจะดำรงต่อ
          หรือได้เพียงตัดพ้อชะตากรรม
          อยากจะกลับไปให้ถึงภูเขา
          หอบเอาทั้งความเศร้าและบอบช้ำ
          กลับไปค้นหาเสี้ยวงามในทรงจำ
          ก่อนที่จะถลำไปมากกว่านี้

หุบเขาบรรพชน

      คงไม่ต้องพรรณนาหรือว่าไป
      ณ หุบแห่งภูเขาใหญ่ - ใต้หล้า
      หุบเขาบรรพชนสืบทอดมา
      เผ่าพันธุ์แห่งข้าฯ ก็เผ่าพันธุ์

      ที่ที่แสงอาทิตย์สาดลอดทิวไม้
      ที่ที่แสงดาวพราวไสวเป็นสีสัน
      ที่ที่ฟ้าอาบอบอวลนวลแสงจันทร์
      ที่ที่โลกคือความฝันอันงดงาม

      ข้าฯ อยู่ในวิถีข้าฯ ชะตาลิขิต
      ทรัพย์สมบัติน้อยนิดยังผ่านข้าม
      วันเดือนปีเปลี่ยนผันผ่านโมงยาม
      ข้าฯ ยังอยู่ได้ในนามแห่งบรรพชน

      เก็บผักหักฟืนกลับมาก่อไฟ
      ผิงหนาวเหน็บหนาวใจมิได้สับสน
      ฟ้าหนาวลมหนาวบันดาลดล
      ผลิเป็นดอกออกเป็นผลแห่งชีวิต

      ให้เท้าที่ย่ำนั้นแกร่งกร้าว
      ให้ใจที่ร้าวเมื่อคราวหลงผิด
      กล่อมเกลาวันวัยไปทีละนิด
      ทั้งหมดล้วนผลผลิตจากเวลา

      ผลผลิตของเวลาและผืนแผ่นดิน
      ณ หุบเขา ทุ่งถิ่นที่ขอบฟ้า
      ล้อมวงไว้หลังเขาเท่าที่เคยมีมา
      สืบต่อปรารถนาแห่งฟ้า - ดิน

      อยู่เป็นก็เพียงแต่อยู่ไป
      อยู่แค่นั้นแค่ไหนถึงวันสูญสิ้น
      อยู่แค่อยู่หาอยู่พอหากิน
      ขณะอยู่ก็ยังยินเรื่องตำนาน

      เรื่องเล่า ณ หุบเขาบรรพชน
      บอกต่อ สืบค้น รับรู้ – ผ่าน
      เก็บบางเรื่องราวปรากฏการณ์
      แตกต่อปัญญาญาณ บรรพชน

เรื่องเล่าใหม่

      เราล้วนเป็นผลพวงของกันและกัน
      เราจึงไม่ใช่เราเท่านั้นที่สรรค์สร้าง
      บรรพชนมีส่วนร่วมจัดวาง
      สังคมก็วาดทางต่อกันมา

      อาจเกิดมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น
      ผสมกับความฝันการแสวงหา
      กับต้นทุนแห่งสติปัญญา
      เทศะและเวลาล้วนปัจจัย

      นั่นก็อาจส่วนหนึ่งเพียงส่วนเดียว
      ดำรงอยู่ข้องเกี่ยวชีวิตแบบไหน
      อีกส่วนหนึ่งคือการเติบโตภายใน
      สิ่งแวดล้อมจัดไว้-การเรียนรู้

      กับสามัญสำนึกต่อชีวิต
      ก็เป็นส่วนหนึ่งลิขิตความเป็นอยู่
      ความฝันใฝ่ไขว่คว้าช่วยชุบชู
      เป็นทางหนึ่งที่จะสู้กับโชคชะตา

      ด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้
      เราเป็นส่วนการผันแปรในคุณค่า
      เราคือส่วนสืบต่อผลพวงกาลเวลา
      หากเราปรารถนาเราย่อมเปลี่ยนแปลง

      กำหนดเรื่องเล่าใหม่ในชีวิต
      ดึงส่วนดีร่วมลิขิต,บางอย่างแย้ง
      บางเรื่องลงร่องซ้ำ,เข้าแทรกแซง
      อานุภาพแห่งเรี่ยวแรงจะทรงพลัง

      แล้วแม้เราเป็นผลพวงของกันและกั
      และเรายังไม่ใช่เราเท่านั้นปั้นแต่งหวัง
      สังคม,บรรพชนก็คงยัง
      เล่าเรื่องใหม่ให้ก้องดังเริ่มทางเดิน

รถสองแถวทางไกลสายผ่านทุ่ง

      รถสองแถวทางไกลสายผ่านทุ่ง
      หลายปลายทางต่างมุ่งต่างจุดหมาย
      นาหน้าหนาวแดดแล้งลมระบาย
      พริ้
      วผ่านฝุ่นทรายในรอยทาง

      วิ่งผ่านสายแดดแล้งไม่เร็วนัก
      แวะจอดหยุดพักสักแห่งบ้าง
      ความเร่งรีบใดหรือที่ถือ…? วาง
      และมิอาจเอ่ยอ้างถึงเวลา

      รอคนให้ครบจนเต็มคัน
      ในรถคั
      นเดียวกันนั้นคล้ายว่า
      ล้วนแต่ญาติมิตรที่มุ่งมา
      คล้
      ายไม่ได้แปลกหน้าบนทางไกล

      ไถ่ถามสารทุกข์-สุข,ปลายทาง
      รุ
      ่งเรืองหรือรกร้างเป็นอย่างไหน
      เมือง,บ้านจากหนนี้ไปหนใด
      ถิ่
      นนั้นยังมีใครคอยเฝ้ารอ

      เนิ่นนานนับแล้วบนท้องถนน
      มีบ้
      างบางคนต้องไปต่อ
      เกือบตะวันลับทุ่งไม่รั้งรอ
      ต่างคนไม่ย่นย่อต่อทางตน

      ลงจากรถสองแถวสายผ่านทุ่ง
      หลายจุดหมายต่างมุ่งมั่นดั้นด้น
      ลับหายจากกันไปในบัดดล
      เรื่
      องราวอันเคี่ยวข้นค่อยลบเลือน

      รถสองแถวคันผ่านทุ่งสายนั้น
      ความรู้สึกแห่งเผ่าพันธ์จึงขับเคลื่อน
      อารมณ์ทุ่งหน้าหนาวกับดาวเดือน
      บรรยากาศกรุ่นเกลื่อนอยู่เปื้
      อนทุ่ง

พักรบ

เมื่อสู้จนถึงที่สุดก็หยุดรบ
หากสงครามยังไม่จบตามเหตุผล
นั่นแล้วจังหวะชีวิตคน
ขวนขวายดิ้นรนจนสิ้นชีวี

หาที่อยู่หาที่กิน-ทำมาหากิน
เรือกสวนไร่นาสิ้นเปลี่ยนวิถี
คนบ้านนอก เกษตรกรรม เสรี
เข้ามาเป็นกุลีในคอกมหานคร

บนรถเมล์สายประจำทาง
พบแววตาอ้างว้างผุกร่อน
ว่างหวังพังพ่ายพเนจร
ฝ่าเปลวแดดแล้งร้อนจะกลับบ้าน

บ้านที่ไม่เหลือเรื่องเลาของเยาวัย
บ้านที่ยุคสมัยเพียงพาดผ่าน
บ้านที่ทุกสิ่งล่มแหลกราน
บ้านที่นานแสนนานจะกลับมา

กลับมาพอรู้ว่าคิดถึงบ้าน
เก็บเงินจากงานอันเหนื่อยล้า
พอได้ซ่อมแซมบางส่วนเวลา
ได้ถมเติมปรารถนาที่ขาดหาย

แออัดเบียดเสียดกระเสือกกระสน
บนรถเมล์ล้นคนเหลือหลาย
รถเมล์คันเดียวไม่เดียวดาย
ปลายทางจุดหมายจุดเดียวกัน

ได้เท่านี้ เท่าที่มี เท่าที่ได้
พักรบเอาไว้พอให้ฝัน
เพียงชั่วครู่ชั่วคราวไม่กี่วัน
เป็นอยู่ได้เท่านั้นอย่างนี้เอง

แล้วกลับไปขึ้นรถเมล์สายมหานคร
ฝ่าเปลวแดดร้อนตะบึงเร่ง
สู่ชะตากรรมอันน่าหวั่นเกรง
คงเป็นได้เท่านี้เองโชคชะตา

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เธอคือฉันเพราะฉันก็คือเธอ

เธอยกย่องเชิดชูผู้สูงศักดิ์
แต่เขารักคนที่ต่ำกว่า
เธออาจยอมมอบกายถวายชีวา
เขาเชื่อมั่นศรัทธาในผู้คน
คล้ายคุณเข้าใจในชีวิต
ฉันท่องโลกวิปริตและสับสน
คุณทำสิ่งดีงามเพื่อประชาชน
แต่ฉันยังอับจนต่อหนทาง
ท่านคือผู้ให้ด้วยใจมั่น
เราล้วนบากบั่นร่วมสรรค์สร้าง
ท่านที่แท้ทุ่มเท-ปล่อยวาง
เราลุยโลกรกร้างระหว่างนั้น
พวกเขาเหยียบย่ำโลก-ไร้สำนึก
พวกเราล้วนรู้สึกยิ่งหวาดหวั่น
พวกเขาว่าพวกเขาสร้าง-มหัศจรรย์
พวกเราจึงงงงันไม่เข้าใจ
ผู้มั่งคั่งแห่งวิถีโลก
ผงาดอยู่บนโชคชะตาสมัย
ผู้ทุกข์ทนจนยากอยู่อย่างไร
ซุกอยู่ในซอกเสี้ยวสังคมมนุษย์
ข้าฯคือใครในวิถีข้าฯ
เจ้าเล่าปรารถนาใดในที่สุด
ข้าฯคือส่วนหนึ่งของโลกที่โทรมทรุด
เจ้าก็คงไม่อาจหยุดวิถีเรา
ดินถิ่นแดนใดคล้ายดินเดียว
น้ำนำคลื่นม้วนเกลียวกล่อมเศร้า
ลมเมื่อเริ่มฤดู ดูอ่อนเยาว์
ไฟร้อนที่แผดเผานั้นเร่าร้อน
ท่านคือเรา เราจึงเป็นท่าน
ซึ่งเธอก็คือฉันแต่เก่าก่อน
คุณคือใครเล่า..คือเราแท้นั่นแน่นอน
ความจริงไม่ซับซ้อนไปกว่านี้

สายใย...

          เพียงเก็บก้อนหินจากร่องลำธาร
          สายน้ำที่ผ่านพลันผันเปลี่ยน
          จังหวะการเคลื่อนวนที่หมุนเวียน
          เชี่ยว,ช้า รู้เรียนจากความจริง
          ใบไม้แห้งเพียงใบในไพรพฤกษ์
          คือจักรวาลในผนึกของสรรพสิ่ง
          ใบไม้แห้งอีกหลายใบไม่ไหวติง
          จักรวาลไม่อาจนิ่งสะท้านกระเทื
          อน
          สายน้ำเปลี่ยนทางลมเปลี่ยนทิศ
          ดิน ฟ้าวิปริต ฤดูเคลื่อน
          เส้นแสงสาดสายของดาวเดือน
          หักเหบิดเบือนทั้งจักรวาล
          ชะตากรรมร่วมหมู่มวลมนุษย์
          วันแห่งการสิ้นสุดการสืบสาน
          มหาสมุทร แม่น้ำถึงลำธา
          ฟ้าลั่นสะท้านดินสั่นสะเทือน...

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จิตรกรรมเหนือขอบฟ้า:เมื่อหมู่เมฆร่ายรำอำลาแสงตะวัน

คล้ายเมฆวาดขอบฟ้าที่ขอบฟ้า
วาดผืนน้ำสนธยาระยิบไหว
วาดแสงตะวันสาดมาแต่ไกล
เป็นเส้นแทรกสดใสและแสนงาม
พลิ้วเมฆขาวทอราวเป็นสายเมฆ
แผ่วลมสายวิเวกในถิ่น-ท่าม
แดนนี้หรือแดนใดขนานนาม
สถิตในนิยามแห่งผืนแผ่นดิน
เมฆยังวาดขอบฟ้าที่ขอบฟ้า
วาดกาลเวลา,ปรารถนาทั้งสิ้น
วาดกวี บทเพลงแผ่วพอได้ยิน
เมฆเสกซึมสู่จินตนาการ

อ่านใบไม้

          หากหนังสือคือสื่อเล่าเรื่องราว
          จึงมีอยู่บางคราวเราอาจอ่าน
          ความรุ่งเรื่องจากวันวาน
          หรือความร้าวรานจากทรงจำ
          หากเราอ่านหนังสือคืออ่านชีวิต
          ยิ่งใหญ่หรือน้อยนิดก็ลึกล้ำ
          แห่งการเรียงตัวของถ้อยคำ
          ซึ่งอาจโน้มนำบันดาลใจ
          จึงไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้น
          เมื่ออ่านตะวัน จันทร์ – ใบไม้
          อ่านน้ำค้างคืนหนาวและอวลไอ
          อ่านสายหมอกกับลมไหวอันแผ่วเบา
          กลีบดอกไม้ที่ร่วงลงร่องลำธาร
          ปลดปล่อยเคลื่อนผ่าน ใหม่ – เก่า
          หรือรอยยิ้มร่าเริงแห่งวัยเยาว์
          อีกรอยย่นปนเศร้าแห่งชรา
          อาจเพียงแค่ใบไม้ใบเดียว
          จากสด เหี่ยว จนร่วงลงตรงหน้า
          คว้างใบลงทับใบในกาลเวลา
          อาจเป็นถ้อยพรรณนาแห่งบทกวี
          อาจเพียงแค่ใบไม้ใบเดียว
          ยังอ่านได้หลายเที่ยวหลายเสี้
          ยววิถี
          อ่านใบไม้ใบเดียวนั้นอ่านอีกที
          อ่านความงามความดีที่เป็นไป

บอกความจริงกับฉันเสียเถิด

          บอกความจริงกับฉันเสียเถิด
          ขณะฝันยังบรรเจิดประกายฉาย
          เก็บช่อดอกดาวยังพราวพราย
          ปักประดับริ้วรายผ่านปรายฟ้า
          ฉันเห็นเธอ ณ ที่นั่น
          งดงามอยู่นิรันดร์-ปรารถนา
          เป็นดาวดวงหนึ่งสถิตย์แนบนิทรา
          กล่อมขวัญด้วยเพลงกล้าแต่แผ่
          วเบา
          ฉันซึ่งชื่นชมเธอ ณ ที่นี่
          ประกายแสงแสนสียังหม่นเศร้า
          กับหยาดน้ำตาแห่งวัยเยาว์
          ประโลมใจเปลี่ยวเหงาบางเบานัก
          ฉันเดินทางผ่านมา-เพียงผ่านมา
          ถึงสภาวะเวลาจึงผ่อนพัก
          ข้ามอรุณผ่านสนธยามาประจักษ์
          ว่าบ่าแบกภาระหนักเกินพอดี
          บอกความจริงกับฉันเสียเถิด
          ขณะฝันยังบรรเจิด ณ ยามนี้
          ดอกดาวงามดวงใดสักช่อมี
          ตกแต่งวิถีทอทางถึงผืนดิน

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ในบทเพลงบรรเลงชีวิต

          ดีด สี ตีเพลงบรรเลงชีวิต

          บรรพบุรุษลิขิตบทเพลงฝัน

          เพลงบอกเล่าเรื่องราวสารพัน

          ส่งต่อผ่านคืนวันอันเป็นมา

          กาลเวลาเปลี่ยนผ่านยุคสมัย

          วัฒนธรรมหลังไหลทั่วแหล่งหล้า

          จากเราออกไป จากเขาเข้ามา

          ออก ตก เหนือ ใต้ ฟ้าจึงปะปน

          แผ่วสล้อซอซึง ตรึงอารมณ์

          แว่วเพลงหนาวล้อมห่ม ณ แห่งหน

          เพลงชีวิตขีดทางในโลกวกวน

          ฝากไว้ให้ผู้คน ทำความเข้าใจ

          เรายินดีในเพลงบรรเลงเรา

          รื่นรมณ์หรือเศร้าจะอย่างไหน

          เพลงสะท้อนวิญญาณจากภายใน

          เพลงเรา,ท่านหรือใครก็ดั่งเดียว

          เพลงของท่านบรรเลงชีวิตท่าน

          โศกเศร้า,เบิกบานอาจข้องเกี่ยว

          ทอทางทอดวิถีที่ท่องเทียว

          ทางเราต่างคดเคี้ยวอยู่พอกัน

          บรรเลงเพลงขณะบรรเลงชีวิต

          ใฝ่ฟังสักนิดพอต่อฝัน

          ออก,ตกล้วนต่างใต้ดวงตะวัน

          บรรเลงเพลงสัมพันธ์แห่งผู้คน

ชีวิตยังร่ายรำได้ร่าเริง

          ขยับลีลาร่ายรำแทนคำกล่าว

          ตามจังหวะเป็นเรื่องราวเล่าสมัย

          จากวันก่อนถึงวันนี้ ยาวไกล

          ยังมีเหลือผู้ใดมาใฝ่ดู

          เยื้องย่างร่างร่ายเป็นลีลา

          บ่มเพาะจากเวลาได้เรียนรู้

          เริงรำในบทเพลงแห่งครู

          ให้เรื่องราวมีเหลืออยู่ในทรงจำ

          สืบทอดด้วยส่วนหนึ่งในตำนาน

          บอกกล่าวเล่าขานวันยังค่ำ

          ในสมัยที่หม่นทึบทะมึนดำ

          ชีวิตยังร่ายรำได้ร่าเริง

คล้ายสายลมมิได้เปลี่ยนทิศ

          สายลมมิได้เปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางมา

          ถึงรอยต่อเวลาเมื่อฟ้าใหม่

          สายลมที่ผ่านพ้นผ่านเลยไป

          รอสายลมสายใหม่เริ่มฤดู

          สายลมอาจหยัดยืนในทางตน

          ซึ่งมิได้สับสนดั่งการรับรู้

          หากแต่ลมหลายสายเมื่อมาสู่

          ต่างทางต่างฤดูต่างสายลม

          และคล้ายสายลมมีจุดหมาย

          ตราบเรี่ยวแรงไม่คลอนคลายสลายล่

          เท่าที่ไปได้เพียงไหนยังชื่นชม

          สุดทางหรือทรุดล้มสูญสลาย

          ไปได้ไกลแค่ไหนก็แค่นั้น

          เหตุปัจจัยผกผันสอดแทรกสาย

          เพียงได้เคลื่อนโชยพัดไม่เว้นวาย

          ถึงจุดหมายหรือไม่ก็สุดแท้

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เขียนถึงบทกวีที่หายไป

      มีบางบทกวีที่หายไป
      ระหว่
      างความว่างไร้ไม่เห็นหน
      หายไปในเงาสลัวของตัวตน
      ขณะจะเริ่มต้นอีกบทกวี
      มีบางเรื่องเล่าอันเร้นลับ
      เพี
      ยงแค่จิตขยับอยู่แค่นี้
      ยังไม่ทันผ่านวันผ่านนาที
      ความทรงจำก็มีอันเป็นไป
      มีบางบทเพลงที่เงียบงัน
      ขาดช่
      วงเพียงเผลอฝันซึ่งอ่อนไหว
      ไม่เหลือท่วงจังหวะทำนองใด
      เป็
      นภาวะแห่งหัวใจชะงักงัน
      เริ่มต้นค้นหาขึ้นมาใหม่
      บทกวี
      แห่งภายในร้อยเรียงรังสรรค์
      เพียงบางเวลาบางคืนวัน
      ถ้
      อยคำซ้ำสั้นสั้นจะคืนมา
      เขียนคำขึ้นอีกครั้งจากเรื่
      องเล่า
      ในหน้ากระดาษเปล่าอั
      นควรค่า
      ร่ายทำนองเพลงพอต่อเติมเวลา
      เท่
      าที่สติปัญญาจะเหนี่ยวนำ
      หากถ้อยคำในรูปของเรื่องราว
      เรี
      ยงรายไว้ยืดยาวตามก้าวย้ำ
      หลุดร่วงลงไปจากทรงจำ
      แล้วหรื
      อนั่นถ้อยคำอันพ่ายพัง
      หากในบทกวีที่หายไป
      คือตั
      วแทนภายในในภาพหวัง
      อัตตา อนัตตา คือแหล่งพลัง
      เอาไว้หยั่
      งโชคชะตาหาคำกวี

คล้ายมีวัยเยาว์ในแววตากวี

          คล้ายมีวัยเยาว์ในแววตากวี
          โลกหลากร้อยพันสีเท่าที่เห็น
          วิจิตรงดงามตามที่เป็น
          อ่อนโยนเยือกเย็นและเบิกบาน
          เล่าความด้วยถ้อยคำธรรมดา
          ตามวาระเวลาเชื่อมประสาน
          แต่งแต้มเติมจินตนาการ
          บางเรื่องก็เนิ่นนานจนยืดยาว
          ความอ่อนเยาว์นั้นเป็นความจริง
          ระหว่างรอยหยุดนิ่งในรอยก้าว
          ระหว่างคืนและวัน-อาจบางคราว
          เป็นดอกไม้ก่อนผลิพราวห่มราวไพร
          ในแววตาแห่งภาวะกวี
          คือความปรารถนาดีซึ่งอ่อนไหว
          ปลอบโลกกล่อมชีวิตประโลมใจ
          ด้วยสำนึกภายในยังอ่อนเยาว์
          ซึ่งไม่ใช่วัยเยาว์คือกวี
          เพราะในตากวีมีหม่นเศร้า
          ในชีวิตกวีมีเปลี่ยวเหงา
          เพียงแต่บางวัยเยาว์เป็นบทกวี