วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผู้ร่วมชะตากรรม

      1
      ผองข้าฯคือเผ่าพันธ์มนุษย์
      เป็นสัตว์ประเสริฐสุดในโลกหล้า
      คิดค้นและสร้าง-ความเป็นมา
      จึงรุ่งเรืองวัฒนากว่าสัตว์
      เพียงไม่กี่ร้อยกี่พันปี
      สิ่งประดิษฐ์มากมี สูง ยาว ใหญ่
      เมื่อเดินทางสู่ผืนแผ่นดินไกล
      ย่นเวลาย่อโลกไว้ปลายนิ้วมือ
      พิชิตชัยชนะสรรพชีวิต
      ฟ้าอย่าได้ลิขิตไม่ยึดถือ
      สัตว์คนจะครองโลกให้ระบือ
      ประกาศนามร่ำลือทั่วจักรวาล

      2
      เหล่าท่านเผ่าพันธ์มนุษย์
      เข่นฆ่ายังไม่หยุดประหัตประหาร
      เป็นมาเช่นนี้เนิ่นนาน
      หรือจะเป็นอยู่ชั่วกาลการดำรง
      สิ่งใดกันในสามัญสำนึก
      มิใช่ผลึกปัญญาอันสูงส่ง
      เมตตาธรรมถูกปลดปลง
      รักหรือก็ลดลงจนโรยรา
      งมงายยึดมั่นในพันธ์เผ่า
      พร่ำพูดโง่เง่าประกาศกล้า
      เบ่งพองตัวตนอหังการ์
      ไม่หวั่นเกรงดินฟ้าชะตากรรม
      ยึดตนเพื่อตนสนองตน
      ท่ามกลางความปี้ป่นบอบช้ำ
      คิดสิ่งใดเพื่อเพียงได้กระทำ
      เสพย์สมสุขล้ำจนเอ่อล้น

      3
      หลายเผ่าหลายหลากพันธ์มนุษย์
      ล้วนแล้วแต่โทรมทรุดสับสน
      ถูกกระทำหรือผู้กระทำก็จำทน
      รอเพียงรับผล-พิพากษา
      สู่สิ้นยุคสิ้นกาลสิ้นสมัย
      มิอาจครองโลกไว้ภายหน้า
      สิ่งประดิษฐ์คิดค้นที่สร้างมา
      ตอบสนองปรารถนาเพียงชั่วคราว
      ทั้งผองเผ่าพันธ์มนุษย์
      ถึงเวลาสิ้นสุดการสืบสาว
      ตำนานพันธ์เผ่าคน-เรื่องราว
      จบไปอย่างปวดร้าวทรมาน

อย่างนั้น โลก-มนุษย์

      ผืนดินแผ่นฟ้า มหาสมุทร
      กับหมู่มวลมนุษย์ที่สุดแสน

      กว้างใหญ่ไกลโพ้นจนสุดแดน
      มากเขตหลายแคว้นแห่งหมู่ชน

      ผ่านบางช่วงเวลามหาวิปโยค
      ธารน้ำตาเศร้าโศกไหลหลากล้น

      เนืองนองท่องทางกลางวังวน
      ยิ่งเรียนรู้ยิ่งสับสนอยู่ตาปี

      แสวงหาบางอย่างระหว่างนั้น
      เรื่องราร้อยพันบั่นทอนวิถี

      หวาดกลัวเรื่องเล้นลับบรรดามี
      เภทภัยจากภูติผีปีศาจร้าย

      สัตว์ประเสริฐเลิศด้วยปัญญา
      คิดค้นศรัทธา ความหมาย

      ธรรมชาติจริงแท้ ท้าทาย
      เป็นเหตุผลใช่งมงายให้จำยอม

      ก่อร่างเป็นพลังสร้างสรรค์
      รวมความจริงความฝันหล่อหลอม

      หากมีสิ่งใดเป็นไปแปลกปลอม
      เงื่อนไขก็พร้อมพิสูจน์มัน

      ขุดค้นความลับแห่งธรรมชาติ
      ดินฟ้าอากาศขนาดไหนนั่น

      อย่างนี้หรืออย่างไรตามให้ทัน
      เอาชนะทุกสิงอันที่เป็นไป

      รู้ทุกสิ่ง...ใช่ต้องเข้าใจทุกสิ่ง
      โลกนี้ความจริงแค่ไหน

      สมองลองคำนวนทุกส่วนใด
      เพื่ออยู่อย่างยิ่งใหญ่ในจักรวาล

      วันหนึ่ง...เมื่อโลกร้าง
      ทุกสิ่งทุกอย่างไร้สืบสาน

      อาจเหลือสักดวงหนึ่งวิญญาณ
      ทอดอาลัยต่อกาลที่ผ่านเลย

      ว่าน่าอนาจนักหนอมนุษย์
      บางสิ่งควรหยุดค้นคำเฉลย

      มี อยู่ เป็นเท่าที่เห็นเช่นที่เคย
      ฟังความธรรมชาติเอ่ยบอกเรื่องราว

      เรียนรู้และสร้างอย่างพอดี
      ดำรงตนตามมีวิถีก้าว

      ให้โลกยังอยู่ยั่งยืนยาว
      เคียงข้างกับหมู่ดาวในจักรวาล

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

ถามข่าวทะเล

      ดั้นด้นจากอีกฝั่งของขอบฟ้า ถามข่าวความเป็นมาในวิถี

      หนทางไกลหลับใหลในราตรี อาจจะไกลกว่าที่ เคยผ่านทาง

      ล่องเรือลอยลำ ทะเลลึก คิด คิด นึก นึก ในเวิ้งว่าง

      ทะเลเขียวกับฟ้า สีฟ้าจาง ขณะแดดอำพราง ฟ้าสีฟ้า

      ใส สวบ วูบไหวในริ้วคลื่น ใจตื่น ตาตื่น มองหา….

      ระยะทาง ท้ายเรือ – เวลา ล่องไปช้า ช้า สู่เกาะไกล

      คนเรือขับเรือคล่องแคล่ว รู้แนว หินเล็ก หินใหญ่

      ผืนน้ำกว้างนั้น เป็นอย่างไร ย่อมมิใช่ไปได้ ดั่งเห็น

      ประสบการณ์..นานนักสั่งสม ดูดาว ดูลม รู้เร้น

      กระแสน้ำขึ้นลงอย่างที่เป็น คนเล ก็เฉกเช่น เดียวกัน

      วางชีวิตตามท่วงทำนอง มิอาจท้า ปะทะประลอง แข่งขัน

      เรือ คน ลม เล คลื่นสัมพันธ์ จึงสมดุล แบ่งปัน – เป็นมา

      จวบจนจะจากแล้ว…ทะเล คลื่นเห่ เรือโยน ดั่งว่า

      กระซิบสั่งถ้อยคำอีกสักครา ย้ำเตือนปรารถนา การมาเยือน

      ว่า…สรรพสิ่ง……. แท้จริงเชื่อมโยงขณะเคลื่อน

      หากมีสิ่งใดถูกบิดเบือน ก็ย่อมมีสิ่งลบเลือน หายไป

      ธรรมชาติสภาวะ…. จึงเป็นจังหวะอันอ่อนไหว

      สิ่งหนึ่งเกิด สิ่งหนึ่งจึงเกิด สิ่งใด สิ่งหนึ่งดับสิ่งหนึ่งจึงได้ ดับตาม

      ….จะกลับไปอีกฝั่งของขอบฟ้า เก็บเอาบางคุณค่ามาไถ่ถาม

      ข่าวคราวความจริงในนิยาม มุ่งหวังจะฝ่าข้าม – พ้นขอบฟ้า

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บนสายน้ำแม่ปิง

      สายน้ำนิ่งนิ่ง แต่เอื่อยไหล
      ระลอกคลื่นเคลื่อนไหวแผ่วแผ่ว

      แม่น้ำปิงทอดลำไปตามแนว
      หวีดหวีด หวิวหวิว แว่วเสียงสายลม

      ในเรือล่องลอยลำในน้ำลึก
      ในรู้สึก ธาราเอาฟ้าห่ม

      อยากโอบกอดริ้วฟอง จ่อมจม
      ลืมทุกข์สิ้นระทมไปชั่วคราว

      สงบ…นิ่งในชั่วขณะ…
      หลบอยู่ในซอกสภาวะ ว่างเปล่า

      วางใจแนบสายน้ำที่ทอดยาว
      ปลดปล่อยความรวดร้าวไปสักครั้ง

      ปลดเปลื้องอีกบางความฝัน
      ที่ร้อยรัดพัวพันกับความหวัง

      ขณะปัจจุบัน นิ่งและฟัง
      สัมผัสการหลากหลั่งของตัวตน

      น้ำชำระล้าง – กล่อมเกลา
      อารมณ์เปลี่ยวเหงาโศกหม่น

      ขัดขูดความทุกข์ท่วมท้น
      ทั้งดุด่าและปลอบโยนผู้ผ่านทาง

      ในสงบนิ่งนั้นมีความรัก
      ย่อมเห็นเมื่อประจักษ์ความว่าง

      แม้ยังมีขุ่นมัวอยู่เลือนลาง
      ก็เป็นเพียงม่านบางบาง บดบังไว้

      ในลึกล้ำนั้นอ่อนโยน
      อาจมีบ้างสับสนจนสงสัย

      ถึงทางที่ลำเรือจะล่องไป
      หรือเบื้องหลังจากไกล ที่ล่องมา

      …..แม่ปิง สายน้ำ กับลำเรือ
      เอื้อเฟื้อบางสิ่งต่อปรารถนา

      เลื้อยลำทอดทาบกาลเวลา
      เลาะซอกอดีต หา…ปัจจุบัน

ลำธาร



    • กาลครั้งหนึ่ง

      ลำธารนับหมื่นสาย….. ก่อกำเนิดจากภูเขาไกลสุดฟ้า

      จากหยดน้ำทีละหยด ไหลมา เป็นแม่คงคาสายใหญ่

      นับแสนนับล้านชีวิต อิงแอบแนบสนิทชิดใกล้

      สายน้ำหล่อเลี้ยงแต่เยาวัย จนเติบโตน้ำยังไหลอยู่อย่างนั้น

      สายน้ำไม่เคยเคียดแค้น มาตรแม้นผู้คนแบ่งชั้น

      ชีวิตหลากล้วนต่างเผ่าพันธ์ สายน้ำยังแบ่งปันความอาทร

    • วันนี้

      จากลำธารสู่ท้องทะเล ร่อนเร่ผ่านหนาวผ่านร้อน

      ผ่านหุบเขาทุ่งนา ป่าดอน ผ่านชีวิตพเนจรผู้ผ่านทาง

      ระหว่างทาง – ไกลแสนไกล พานพบสิ่งใดมาบ้าง

      โขดเขา ภูผา หรือป่าร้าง หมู่บ้านอ้างว้างไร้ผู้คน

      ป่าเขาแหลกสลาย…….. ด้วยน้ำมืออสูรกายมาขุด – ขน

      แปรป่าเป็นเงินได้ในบัดดล หยดน้ำมิอาจทนถูกย่ำยี

      ค่อยค่อย เหือด แห้ง โหย หาย ไร้ทางที่จะไปให้ถึงที่

      ผืนแผ่นดินสีเขียวขจี บัดนี้จะเหลือเพียงตำนาน

    • คงสักวัน

      เป็นตำนานของสายน้ำ จากปากคำผู้เฒ่าเล่าขาน

      ว่าแผ่นดินวันนี้ ร้าวราน ฝูงแมลง ,ดอกไม้บานก็ร่วงโรย

      ภูเขาร้อนร้าย –แห้ง แล้ง แม้หยดน้ำในแอ่งก็เหือดโหย

      ลมหอบไอร้อน พัดโชย หอบหยดฝนโปรยแผ่วเบา

      แผ่ว เบา แผ่ว แห้งหาย อ่อนล้า จนตาย เพราะโง่เขลา

      สูญสิ้นตำนานเรื่องราว ไร้ผู้บอกเล่า ชั่วนิรันดร์

กับแสงสุดท้ายสนธยา



          เคียงข้างแสงสุดท้ายสนธยา
          ยามตะวันอำลาฟ้าตะวันตก
          ลมที่เลยผ่านแล้วก็เลี้ยววก
          บางชีวิตสั่นสะทกในหนาวนั้น

          นักเดินทางจึงยังเดินทาง
          ชั่งหัวความอ้างว้างใยหวาดหวั่น
          หรือจะความรื่นรมย์ก็ชั่งมัน
          แค่เดินทางตามฝันที่ฝันไว้

          นักแสวงหาก็ยังคงแสวงหา
          รู้อยู่ฟ้าย่อมมิใช่ฟ้าใหม่
          แผ่นดินก็ผืนเดิมแล้วอย่างไร
          ขณะค้นพบภายในล้วนเปลี่ยนแปลง

          จะนักอะไรต่ออะไรทั้งหลายนัก
          ก็ล้วนต้องฟูมฟักวิถีแห่ง
          การสั่งสมกำลังใจเติมเรี่ยวแรง
          เพียงเพื่อได้สำแดงวิถีตน

          วิถีของมนุษย์ธรรมดา
          สู่วิถีปรัชญาเพื่อสืบค้น
          สู่วิถีปัญญาของปุถุชน
          สู่ปัญญาเพื่อหลุดพ้นถึงอริยะ

          นักเดินทางนักแสวงหาก็ว่าไว้
          ว่าหนทางยิ่งใหญ่คืออิสระ
          ว่าไปแล้วเสี้ยวหนึ่งแห่งพันธะ
          ก็คือบางขณะการเดินทาง
          ซึ่งเป็นบางขณะแสวงหาและเดินทาง

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

สายน้ำ


        สายน้ำ........
        ล่องเลื้อยทอลำกว้างใหญ่
        ลัดเลาะโขดเขาแนวไพร
        ทอดยาวสู่แผ่นดินไกล กว่าฟ้า

          สายน้ำ........
          ซ่อนความลึกล้ำแห่งหล้า
          ล้วนสิ่งจริงแท้ใช่แค่มายา
          ผ่านช่วงเวลาฤดูกาล

          สายน้ำ..........
          สิงสู่ทรงจำเมื่อผ่าน
          ไหลไปคล้ายนิ่งแน่นาน
          ภาพเดียวดั่งวันวาน-วันนี้

          สายน้ำ..........
          กระซิบบอกบางคำระหว่างวิถี
          ภาวะแห่งคุณค่า บางที
          เงือนไขย่อมมีปัจจัย

          สายน้ำ.........
          คลางครวญหวนร่ำท่ามยุคสมัย
          ชี้แจงแสดงเหตุเภทภัย
          เป็นเงื่อนงำความนัย หายนะ

          สายน้ำ........
          ไหลเป็นลำนำสัจจะ
          แปรเปลี่ยนเวียนผันสภาวะ
          เข้าใจภาระแห่งสายน้ำ.......