วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เธอคือฉันเพราะฉันก็คือเธอ

เธอยกย่องเชิดชูผู้สูงศักดิ์
แต่เขารักคนที่ต่ำกว่า
เธออาจยอมมอบกายถวายชีวา
เขาเชื่อมั่นศรัทธาในผู้คน
คล้ายคุณเข้าใจในชีวิต
ฉันท่องโลกวิปริตและสับสน
คุณทำสิ่งดีงามเพื่อประชาชน
แต่ฉันยังอับจนต่อหนทาง
ท่านคือผู้ให้ด้วยใจมั่น
เราล้วนบากบั่นร่วมสรรค์สร้าง
ท่านที่แท้ทุ่มเท-ปล่อยวาง
เราลุยโลกรกร้างระหว่างนั้น
พวกเขาเหยียบย่ำโลก-ไร้สำนึก
พวกเราล้วนรู้สึกยิ่งหวาดหวั่น
พวกเขาว่าพวกเขาสร้าง-มหัศจรรย์
พวกเราจึงงงงันไม่เข้าใจ
ผู้มั่งคั่งแห่งวิถีโลก
ผงาดอยู่บนโชคชะตาสมัย
ผู้ทุกข์ทนจนยากอยู่อย่างไร
ซุกอยู่ในซอกเสี้ยวสังคมมนุษย์
ข้าฯคือใครในวิถีข้าฯ
เจ้าเล่าปรารถนาใดในที่สุด
ข้าฯคือส่วนหนึ่งของโลกที่โทรมทรุด
เจ้าก็คงไม่อาจหยุดวิถีเรา
ดินถิ่นแดนใดคล้ายดินเดียว
น้ำนำคลื่นม้วนเกลียวกล่อมเศร้า
ลมเมื่อเริ่มฤดู ดูอ่อนเยาว์
ไฟร้อนที่แผดเผานั้นเร่าร้อน
ท่านคือเรา เราจึงเป็นท่าน
ซึ่งเธอก็คือฉันแต่เก่าก่อน
คุณคือใครเล่า..คือเราแท้นั่นแน่นอน
ความจริงไม่ซับซ้อนไปกว่านี้

สายใย...

          เพียงเก็บก้อนหินจากร่องลำธาร
          สายน้ำที่ผ่านพลันผันเปลี่ยน
          จังหวะการเคลื่อนวนที่หมุนเวียน
          เชี่ยว,ช้า รู้เรียนจากความจริง
          ใบไม้แห้งเพียงใบในไพรพฤกษ์
          คือจักรวาลในผนึกของสรรพสิ่ง
          ใบไม้แห้งอีกหลายใบไม่ไหวติง
          จักรวาลไม่อาจนิ่งสะท้านกระเทื
          อน
          สายน้ำเปลี่ยนทางลมเปลี่ยนทิศ
          ดิน ฟ้าวิปริต ฤดูเคลื่อน
          เส้นแสงสาดสายของดาวเดือน
          หักเหบิดเบือนทั้งจักรวาล
          ชะตากรรมร่วมหมู่มวลมนุษย์
          วันแห่งการสิ้นสุดการสืบสาน
          มหาสมุทร แม่น้ำถึงลำธา
          ฟ้าลั่นสะท้านดินสั่นสะเทือน...

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จิตรกรรมเหนือขอบฟ้า:เมื่อหมู่เมฆร่ายรำอำลาแสงตะวัน

คล้ายเมฆวาดขอบฟ้าที่ขอบฟ้า
วาดผืนน้ำสนธยาระยิบไหว
วาดแสงตะวันสาดมาแต่ไกล
เป็นเส้นแทรกสดใสและแสนงาม
พลิ้วเมฆขาวทอราวเป็นสายเมฆ
แผ่วลมสายวิเวกในถิ่น-ท่าม
แดนนี้หรือแดนใดขนานนาม
สถิตในนิยามแห่งผืนแผ่นดิน
เมฆยังวาดขอบฟ้าที่ขอบฟ้า
วาดกาลเวลา,ปรารถนาทั้งสิ้น
วาดกวี บทเพลงแผ่วพอได้ยิน
เมฆเสกซึมสู่จินตนาการ

อ่านใบไม้

          หากหนังสือคือสื่อเล่าเรื่องราว
          จึงมีอยู่บางคราวเราอาจอ่าน
          ความรุ่งเรื่องจากวันวาน
          หรือความร้าวรานจากทรงจำ
          หากเราอ่านหนังสือคืออ่านชีวิต
          ยิ่งใหญ่หรือน้อยนิดก็ลึกล้ำ
          แห่งการเรียงตัวของถ้อยคำ
          ซึ่งอาจโน้มนำบันดาลใจ
          จึงไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้น
          เมื่ออ่านตะวัน จันทร์ – ใบไม้
          อ่านน้ำค้างคืนหนาวและอวลไอ
          อ่านสายหมอกกับลมไหวอันแผ่วเบา
          กลีบดอกไม้ที่ร่วงลงร่องลำธาร
          ปลดปล่อยเคลื่อนผ่าน ใหม่ – เก่า
          หรือรอยยิ้มร่าเริงแห่งวัยเยาว์
          อีกรอยย่นปนเศร้าแห่งชรา
          อาจเพียงแค่ใบไม้ใบเดียว
          จากสด เหี่ยว จนร่วงลงตรงหน้า
          คว้างใบลงทับใบในกาลเวลา
          อาจเป็นถ้อยพรรณนาแห่งบทกวี
          อาจเพียงแค่ใบไม้ใบเดียว
          ยังอ่านได้หลายเที่ยวหลายเสี้
          ยววิถี
          อ่านใบไม้ใบเดียวนั้นอ่านอีกที
          อ่านความงามความดีที่เป็นไป

บอกความจริงกับฉันเสียเถิด

          บอกความจริงกับฉันเสียเถิด
          ขณะฝันยังบรรเจิดประกายฉาย
          เก็บช่อดอกดาวยังพราวพราย
          ปักประดับริ้วรายผ่านปรายฟ้า
          ฉันเห็นเธอ ณ ที่นั่น
          งดงามอยู่นิรันดร์-ปรารถนา
          เป็นดาวดวงหนึ่งสถิตย์แนบนิทรา
          กล่อมขวัญด้วยเพลงกล้าแต่แผ่
          วเบา
          ฉันซึ่งชื่นชมเธอ ณ ที่นี่
          ประกายแสงแสนสียังหม่นเศร้า
          กับหยาดน้ำตาแห่งวัยเยาว์
          ประโลมใจเปลี่ยวเหงาบางเบานัก
          ฉันเดินทางผ่านมา-เพียงผ่านมา
          ถึงสภาวะเวลาจึงผ่อนพัก
          ข้ามอรุณผ่านสนธยามาประจักษ์
          ว่าบ่าแบกภาระหนักเกินพอดี
          บอกความจริงกับฉันเสียเถิด
          ขณะฝันยังบรรเจิด ณ ยามนี้
          ดอกดาวงามดวงใดสักช่อมี
          ตกแต่งวิถีทอทางถึงผืนดิน

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ในบทเพลงบรรเลงชีวิต

          ดีด สี ตีเพลงบรรเลงชีวิต

          บรรพบุรุษลิขิตบทเพลงฝัน

          เพลงบอกเล่าเรื่องราวสารพัน

          ส่งต่อผ่านคืนวันอันเป็นมา

          กาลเวลาเปลี่ยนผ่านยุคสมัย

          วัฒนธรรมหลังไหลทั่วแหล่งหล้า

          จากเราออกไป จากเขาเข้ามา

          ออก ตก เหนือ ใต้ ฟ้าจึงปะปน

          แผ่วสล้อซอซึง ตรึงอารมณ์

          แว่วเพลงหนาวล้อมห่ม ณ แห่งหน

          เพลงชีวิตขีดทางในโลกวกวน

          ฝากไว้ให้ผู้คน ทำความเข้าใจ

          เรายินดีในเพลงบรรเลงเรา

          รื่นรมณ์หรือเศร้าจะอย่างไหน

          เพลงสะท้อนวิญญาณจากภายใน

          เพลงเรา,ท่านหรือใครก็ดั่งเดียว

          เพลงของท่านบรรเลงชีวิตท่าน

          โศกเศร้า,เบิกบานอาจข้องเกี่ยว

          ทอทางทอดวิถีที่ท่องเทียว

          ทางเราต่างคดเคี้ยวอยู่พอกัน

          บรรเลงเพลงขณะบรรเลงชีวิต

          ใฝ่ฟังสักนิดพอต่อฝัน

          ออก,ตกล้วนต่างใต้ดวงตะวัน

          บรรเลงเพลงสัมพันธ์แห่งผู้คน

ชีวิตยังร่ายรำได้ร่าเริง

          ขยับลีลาร่ายรำแทนคำกล่าว

          ตามจังหวะเป็นเรื่องราวเล่าสมัย

          จากวันก่อนถึงวันนี้ ยาวไกล

          ยังมีเหลือผู้ใดมาใฝ่ดู

          เยื้องย่างร่างร่ายเป็นลีลา

          บ่มเพาะจากเวลาได้เรียนรู้

          เริงรำในบทเพลงแห่งครู

          ให้เรื่องราวมีเหลืออยู่ในทรงจำ

          สืบทอดด้วยส่วนหนึ่งในตำนาน

          บอกกล่าวเล่าขานวันยังค่ำ

          ในสมัยที่หม่นทึบทะมึนดำ

          ชีวิตยังร่ายรำได้ร่าเริง

คล้ายสายลมมิได้เปลี่ยนทิศ

          สายลมมิได้เปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางมา

          ถึงรอยต่อเวลาเมื่อฟ้าใหม่

          สายลมที่ผ่านพ้นผ่านเลยไป

          รอสายลมสายใหม่เริ่มฤดู

          สายลมอาจหยัดยืนในทางตน

          ซึ่งมิได้สับสนดั่งการรับรู้

          หากแต่ลมหลายสายเมื่อมาสู่

          ต่างทางต่างฤดูต่างสายลม

          และคล้ายสายลมมีจุดหมาย

          ตราบเรี่ยวแรงไม่คลอนคลายสลายล่

          เท่าที่ไปได้เพียงไหนยังชื่นชม

          สุดทางหรือทรุดล้มสูญสลาย

          ไปได้ไกลแค่ไหนก็แค่นั้น

          เหตุปัจจัยผกผันสอดแทรกสาย

          เพียงได้เคลื่อนโชยพัดไม่เว้นวาย

          ถึงจุดหมายหรือไม่ก็สุดแท้

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เขียนถึงบทกวีที่หายไป

      มีบางบทกวีที่หายไป
      ระหว่
      างความว่างไร้ไม่เห็นหน
      หายไปในเงาสลัวของตัวตน
      ขณะจะเริ่มต้นอีกบทกวี
      มีบางเรื่องเล่าอันเร้นลับ
      เพี
      ยงแค่จิตขยับอยู่แค่นี้
      ยังไม่ทันผ่านวันผ่านนาที
      ความทรงจำก็มีอันเป็นไป
      มีบางบทเพลงที่เงียบงัน
      ขาดช่
      วงเพียงเผลอฝันซึ่งอ่อนไหว
      ไม่เหลือท่วงจังหวะทำนองใด
      เป็
      นภาวะแห่งหัวใจชะงักงัน
      เริ่มต้นค้นหาขึ้นมาใหม่
      บทกวี
      แห่งภายในร้อยเรียงรังสรรค์
      เพียงบางเวลาบางคืนวัน
      ถ้
      อยคำซ้ำสั้นสั้นจะคืนมา
      เขียนคำขึ้นอีกครั้งจากเรื่
      องเล่า
      ในหน้ากระดาษเปล่าอั
      นควรค่า
      ร่ายทำนองเพลงพอต่อเติมเวลา
      เท่
      าที่สติปัญญาจะเหนี่ยวนำ
      หากถ้อยคำในรูปของเรื่องราว
      เรี
      ยงรายไว้ยืดยาวตามก้าวย้ำ
      หลุดร่วงลงไปจากทรงจำ
      แล้วหรื
      อนั่นถ้อยคำอันพ่ายพัง
      หากในบทกวีที่หายไป
      คือตั
      วแทนภายในในภาพหวัง
      อัตตา อนัตตา คือแหล่งพลัง
      เอาไว้หยั่
      งโชคชะตาหาคำกวี

คล้ายมีวัยเยาว์ในแววตากวี

          คล้ายมีวัยเยาว์ในแววตากวี
          โลกหลากร้อยพันสีเท่าที่เห็น
          วิจิตรงดงามตามที่เป็น
          อ่อนโยนเยือกเย็นและเบิกบาน
          เล่าความด้วยถ้อยคำธรรมดา
          ตามวาระเวลาเชื่อมประสาน
          แต่งแต้มเติมจินตนาการ
          บางเรื่องก็เนิ่นนานจนยืดยาว
          ความอ่อนเยาว์นั้นเป็นความจริง
          ระหว่างรอยหยุดนิ่งในรอยก้าว
          ระหว่างคืนและวัน-อาจบางคราว
          เป็นดอกไม้ก่อนผลิพราวห่มราวไพร
          ในแววตาแห่งภาวะกวี
          คือความปรารถนาดีซึ่งอ่อนไหว
          ปลอบโลกกล่อมชีวิตประโลมใจ
          ด้วยสำนึกภายในยังอ่อนเยาว์
          ซึ่งไม่ใช่วัยเยาว์คือกวี
          เพราะในตากวีมีหม่นเศร้า
          ในชีวิตกวีมีเปลี่ยวเหงา
          เพียงแต่บางวัยเยาว์เป็นบทกวี