หากเธอนั่งอยู่บนวิมานในม่านเมฆ
ทุกสิ่งเธออาจเสกได้ดังหวัง
กำลังใจจึงมั่นคงทรงพลัง
เสพสำราญล้วนเป็นดั่งทิพยรส
โลกไม่ใช่เท่านั้นหรอก....
ในบางมุมบางซอกยังโศกสลด
หลายผู้คนข้นแค้นรันทด
รอหยาดน้ำใจรดราดชีวิต
เธอที่รัก ความรักเธอยังงดงาม
มีบ้างใช่ไหมบางยามนิ่งสนิท
มิได้เผื่อแผ่ผู้ใดเพียงสักนิด
แต่ความจริงความรักสถิตในใจเธอ
นั่นจึงเป็นคุณค่าและความดี
จัดวางบางวิถีไว้นำเสนอ
เพียงกล้าก้าวไปจะได้เจอ
สักเสี้ยวกาลที่เธอได้แบ่งปัน
และนั่นอาจไม่ใช่ทิพยรส
แต่งดงามหมดจดกว่าแดนสวรรค์
เรียนรู้ รับและให้ ได้ด้วยกัน
นั่นจึงไม่ใช่เพียงฝันในม่
แด่ความรักที่มีจริงในใจเธอ
พลังใจยิ่งใหญ่เสมอหากปรารถนา
สุขทุกข์ย่อมประสบได้ในกาลเวลา
แต่มนุษย์ล้วนยังควรค่าในความดี
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552
แด่ความรักที่มีจริงในใจเธอ
นิทาน เมฆขาว วัยเยาว์ ณ ขอบฟ้า
๑
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552
เรื่องเล่าความหลัง บนถนนที่มุ่งสู่พรุ่งนี้
๑
การเดินทางที่มุ่งสู่พรุ่งนี้
ในบรรดาผู้เฒ่ามีบางเรื่องเล่า
คือความหลังฝังใจจากวัยเยาว์
วันวานหว่านหวังไว้แสวงหา
ยุ
บางหวังและบางฝันถูกบิดเบือน
ล่
๒
ยายเฒ่าเล่าว่า เมื่อวัยสาว
ทุ่งเหลืองรวงข้
ถือเคียวเกี่ยวข้าวปลายปี
เพื่
ผักหญ้าหาได้จากชายทุ่ง
ไร้
กบเขียดปูปลาก็สำราญ
น้ำหนองห้
ไม่ต้องดิ้นรนทุกข์ทนยาก
มีอยู
พออยู่พอกินก็พอก็อยู่ไป
หากมี
แต่ชีวิตอย่างนั้นก็ผ่านไปแล้ว
บทบัญญัติสังคมปัจจุบัน
เงิน..
คือยุคข้าวยากหมากแพง
ไม่เหลื
ซื้อขายได้ แบ่งปัน ช่วงชิง
ชีวิตวุ่นวิ่ง หาเงินทอง
๓
ขณะน้ำเสียงผู้เฒ่าเล่าความหลั
คล้ายสิ้นไร้พลังดูหม่นหมอง
พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรไม่รู้
อาจต้องเดินในหลุบร่
เกิดมาจากยุคสมัยที่ง่ายงาม
เติ
แล้วก็
เบิกบานและงดงาม
วาดสายตาหาความงามของผืนดิน
ท่
ท่ามกลางระหว่างสุขทั้งทุกข์
ผ่านทั้งวิปโยคและอารยะ
เพียงเพราะเป็นมนุษย์จึงมีกวี
แสวงหาเสี้ยวดีจากทุกขณะ
มิใช่ต้องจำยอมด้วยภาระ
หากนั่
เรียนรู้ชีวิตเพื่อจะเบิกบาน
ทำความเข้าใจตามอัตวิสัยวัยวุฒิ
ไม่ดูดายไม่เร่งรุด-ที่สุดอย่
แล้วยังมีลมหายใจจึงไม่ไร้หวัง
ลองเลาะเรียงลำดับความมหัศจรรย์
มิใช่นิ่งอยู่เงียบงันอย่
ด้วยความเบิกบานและงดงาม
เรียงรายในทางที่เป็นมา
เปล่
ไม่เพียงเท่านั้นอาจเท่านั้นเป็
ซึ่งล้วนสิ่งใดมีอยู่
ผลึกรู้สึกสำนึกในภายใน
เปล่
ยุคสมัยขับเคลื่อนแม้ถ้อยคำ
สั
ว่าชีวิตลิขิตฟ้าหรือละเลย
ด้วยความเบิกบานและงดงาม
วาดสายตาคีตกวีเนรมิต
ดลบั
วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ความตายไม่อาจพรากเธอไปจากฉัน
รับรู้เมื่อตะวันทักเช้าใหม่
เช้าที่แสงทองยังผ่องอำไพ
กับสายหมอกยังอวลไอดั่งวันวาน
เธออยู่เคียงข้างฉันเช่นวันเก่า
ยังร่วมทางของเราเราก้าวผ่าน
ข้ามทิวเขาเข้มเราก้าวนาน
ลัดเลาะริมลำธารเราเปียกปอน
ทักผีเสื้อริมทางระหว่างฝัน
เหนื่อยนักกลางวันเราพักผ่อน
ฟังนกร้องกล่อมขวัญเหยียดกายนอน
เล่นซ่อนหากับแสงร้อนหลบซ่อนซุก
ยิ้มของเธอยังเผยแย้ม
เป็นสีสันแต่งแต้มให้เต็มสุข
เสียงหัวเราะยังเริงร่ามาเร่งรุก
แม้มีบ้างยังทุกข์ระทดท้อ
ความตายไม่อาจพรากเธอไปจากฉัน
สถิตในสรวงสวรรค์ที่นั่นหนอ
จะสวรรค์ชั้นไหนก็ใกล้พอ
เท่าที่จะหยุดรอเราร่วมทาง
เธออยู่ที่นั่นที่นี่ทุกข์ที่ไหน
สัมผัสยังอ่อนไหวในความว่าง
อุ้งมือยังอุ่นอยู่บอบบาง
ทุกเท้าที่ก้าวย่างไม่เดียวดาย
เธอยังมิได้พรากไปจากฉัน
ยังเดินเคียงข้างกันสู่ความหมาย
ยังได้สบตาเธองามพริ้งพราย
ผ่านเรื่องราวดีร้ายไปเรียนรู้
ไม่มีใครพรากเธอไปจากฉัน
เมื่อความรักคงมั่นนั้นมีอยู่
ความรักเป็นนิรันดร์คอยอุ้มชู
เรายังเคียงคู่สู่พรุ่งนี้
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552
อีกสิ่งเสพย์อิ่มสุขซึ้งไปถึงไหน
“สรรพชีวิตกำเนิดจากแม่ และ พ่อ”
ความจริงง่ายง่าย ที่มนุษย์ย่อมรู้
“สรรพชีวิตเติบโตตามควร ด้วยได้รับอาหารหล่อเลี้ยง”
นี่ก็อีกความจริงง่ายง่าย ที่มนุษย์ย่อมรู้
“แต่กระนั้น....ชีวิตย่อมมิใช่เพียงเกิด หากิน เติบโต ให้กำเนิด และตายไป”
นี่ก็อาจอีกความจริงง่ายง่าย ที่มนุษย์ย่อมรู้
อย่างนั้น....คำถามมากมายเรียงรายหลั่งไหลออกมาจากสายธารปัญญาของผู้คน หลากหลายมิติ บนวิถีแห่งการแสวงหา บางคำตอบอาจล่องลอยบนกาลเวลาและรายทางที่ผ่าน บางตำนาน บางเรื่องราว เป็นเรื่องเล่า รูปแบบแตกต่างตามถนัด
มนุษย์ผู้รับฟัง เรียนรู้ ทำความเข้าใจ แล้วขานขัยนัยยะ เช่นนั้น....กลั่นกรองขัดเกลาแล้วเล่าความให้ต่อเนื่องเป็นอีกเรื่องเพื่อสืบทอด ทอทางแห่งการเรียนรู้สู่หมู่ชน
....นิทานมหัศจรรย์พันลึก แฝงบางเสี้ยวรู้สึกแห่งอดีต มิใช่การลิขิต เป็นแต่เพียงนึกคิดต่ออนาคต และลูกหลาน
อาจหวังเพียงสุ้มเสียงอุทานเมื่อความนั้นแจ้งใจ หรือคล้ายดั่งการโปรยหว่านเมล็ดหวัง ให้ผืนดินช่วยกลบฝังนิ่งนาน ยามเมื่อเม็ดฝนโปรยผ่าน กล้านั้นจะแตกหน่อ เติบโตสืบต่อเผ่าพันธ์
....บทเพลงที่บรรเลงผ่านอารมณ์ สุขสมหรือไร้วาสนา ขยับเยื้องย่างลีลาฮึกเหิมแกร่งกล้า หรือท้อแท้ สุดแต่ท่วงทำนอง ถึงที่สุดมิได้บอกเล่าเพื่อให้หลงลำพอง ผยองในชีวิตอันน้อยนิด ต้อยต่ำหรือสูงค่า ชูคอเยาะเย้ยฟ้า ชะตากรรม
แต่นั่นเพียงลำนำ ถักร้อยเป็นถ้อยคำแห่งความเบิกบานให้ซึมซ่านสู่วิญญาณอันหม่นไหม้ในวัยแห่งความสับสนกับเรื่องเล่าที่ปะปนวกวนจนวุ่นวาย ในหนทางที่มิได้ถากถาง
....บทกวีเรียงถ้อยวิถีคำและความงดงามตามประสา ปรารถนา ปรัชญา ว่าไป
จินตนาการวูบไหว เคลื่อนเข้าสู่ภวังค์แห่งความฝัน หากแต่มิใช่เพียงเท่านั้นกระมัง
ว่ากันว่าในดวงตากวี ย่อมยังมีเส้นแสงนับแสนสายร้อยรัดโลก มองเห็นวิปโยค และสุขซึ้ง ลุถึงก้นบึ้งแห่งคำนึง และทรงจำ หากแต่ถ้อยคำเหล่านั้นหลั่งล้นอยู่บนการเรียนรู้เรื่องราวแห่งชีวิต และตัวตน ดำดิ่งลงสู่ห้วงใจให้สุดลึกเพื่อค้น แล้วเล่าความ
ฐานะมนุษย์ย่อมยังหวังอันสูงสุดเอาไว้ ผสานร่างกายและหัวใจเป็นหนึ่งเดียว สรรพสิ่งล้วนข้องเกี่ยวหลอมรวมและแยกย่อย...กระจัดกระจายแต่เป็นหนึ่ง
ที่สุดถึงหรือไม่ถึงปลายทางดั่งหวัง เรื่องราวใดได้ฟังทั้งเนื้อหาและทำนอง เพ่งมองอย่างไรตื่นตาหรือว่างไร้ต่อโลก ดำรงอยู่โศก สุข ตามยถา ปล่อยไปตามวาระของเวลา หรือมุ่งมาดปรารถนา แสวงหาเครื่องหล่อเลี้ยงเพียงนั้น ทางแห่งมนุษย์อาจมีหลายสิ่งอันได้เสพย์และแบ่งปันตามควร...
ร่วมทางระหว่างเคลื่อนขบวนสู่ทิพยปัญญา.....สุดแท้แต่พลังและวาสนา...แห่งตน
ได้ยินเสียงเพลงทุ่งเมื่อรุ่งสาง
มวลดอกไม้ต้อนรับผลิแย้มพราว
สีทองของทุ่งข้าวก็รับรู้
สายลมเปลี่ยนทิศเปลี่ยนที่มา
แผ่วเบา บ้างโถมถาเมื่อมาสู่
ฝุ่นดินคลุ้งขานรับกับฤดู
เม็ดน้ำค้างยังเกาะอยู่รอตะวัน
เพลงรักยังกล่อมทุ่งเมื่อรุ่งสาง
ยังไม่ชืดไม่จืดจางดั่งความฝัน
ขานขับลำนำรักอยู่นิรันดร์
กล่อมขวัญ ณ ทุ่งนั้นไม่ขาดเลย
จึงยินดีนักหนาเมื่อมาถึง
นานนับยังคำนึงมิได้เฉื่อยเฉย
เดินทางกลางเมืองเถื่อน-ไม่มีเลย
ไม่มีวันไม่เคยคิดถึงทุ่ง
กลับมาแล้ววันนี้เมื่อรุ่งสาง
พร้อมกับหมอกเบาบางยามย่ำรุ่ง
ดอกไม้งามยามเช้ากลิ่นหอมฟุ้ง
ทั้งรวงข้าวในทุ่งก็รู้แล้ว....