วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
บนสายน้ำแม่ปิง
ลำธาร
- กาลครั้งหนึ่ง
ลำธารนับหมื่นสาย….. ก่อกำเนิ
จากหยดน้ำทีละหยด ไหลมา เป็นแม่คงคาสายใหญ่
นับแสนนับล้านชีวิต อิ
สายน้ำหล่อเลี้ยงแต่เยาวัย
สายน้ำไม่เคยเคียดแค้น มาตรแม้
ชีวิตหลากล้วนต่างเผ่าพันธ์
- วันนี้
จากลำธารสู่ท้องทะเล ร่อนเร่ผ่
ผ่านหุบเขาทุ่งนา ป่าดอน ผ่านชีวิตพเนจรผู้ผ่
ระหว่างทาง – ไกลแสนไกล พานพบสิ่งใดมาบ้าง
โขดเขา ภูผา หรือป่าร้าง หมู่บ้านอ้างว้
ป่าเขาแหลกสลาย…….. ด้วยน้ำมื
แปรป่าเป็นเงินได้ในบัดดล หยดน้
ค่อยค่อย เหือด แห้ง โหย หาย ไร้ทางที่จะไปให้ถึงที่
ผืนแผ่นดินสีเขียวขจี บัดนี้
- คงสักวัน
เป็นตำนานของสายน้ำ จากปากคำผู
ว่าแผ่นดินวันนี้ ร้าวราน ฝูงแมลง ,ดอกไม้บานก็ร่วงโรย
ภูเขาร้อนร้าย –แห้ง แล้ง แม้หยดน้ำในแอ่งก็เหื
ลมหอบไอร้อน พัดโชย หอบหยดฝนโปรยแผ่วเบา
แผ่ว เบา แผ่ว แห้งหาย อ่อนล้า จนตาย เพราะโง่เขลา
สูญสิ้นตำนานเรื่องราว ไร้ผู้
กับแสงสุดท้ายสนธยา
นักเดินทางจึงยังเดินทาง
ชั่งหัวความอ้างว้างใยหวาดหวั่น
หรือจะความรื่นรมย์ก็ชั่งมัน
แค่เดินทางตามฝันที่ฝันไว้
นักแสวงหาก็ยังคงแสวงหา
รู้อยู่ฟ้าย่อมมิใช่ฟ้าใหม่
แผ่นดินก็ผืนเดิมแล้วอย่างไร
ขณะค้นพบภายในล้วนเปลี่ยนแปลง
จะนักอะไรต่ออะไรทั้งหลายนัก
ก็ล้วนต้องฟูมฟักวิถีแห่ง
การสั่งสมกำลังใจเติมเรี่ยวแรง
เพียงเพื่อได้สำแดงวิถีตน
วิถีของมนุษย์ธรรมดา
สู่วิถีปรัชญาเพื่อสืบค้น
สู่วิถีปัญญาของปุถุชน
สู่ปัญญาเพื่อหลุดพ้นถึงอริยะ
นักเดินทางนักแสวงหาก็ว่าไว้
ว่าหนทางยิ่งใหญ่คืออิสระ
ว่าไปแล้วเสี้ยวหนึ่งแห่งพันธะ
ก็คือบางขณะการเดินทาง
ซึ่งเป็นบางขณะแสวงหาและเดินทาง